TEA TREE
Tea tree, also known as melaleuca, is well-known for
its powerful antiseptic properties and ability to treat
wounds. Tea tree oil (TTO), the volatile essential oil
derived mainly from the Australian native plant
Melaleuca alternifolia has been widely used throughout
Australia for at least the past 100 years. And for over
seven decades, it’s been documented in numerous
medical studies to kill many strains of bacteria, viruses
and fungi.
One of the most common uses for tea tree oil today
is in skin care products, as it’s considered one of the
most effective home remedies for acne. One study
found tea tree oil to be just as effective as benzoyl
peroxide, but without the associated negative side
effects that many people experience including red,
dried and peeling skin.
(ทีทรี) หรือ Melaleuca alternifolia เป็นพืชพื้นเมืองที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศออสเตรเลีย
Tea Tree จัดอยู่ในวงศ์ Myrtaceae ซึ่งพืชในวงศ์นี้จะมีต่อมน้ำมันอยู่ที่ใบ สำหรับ Tea Tree เป็นพืชสมุนไพรที่ใบมี
น้ำมันหอมระเหยเป็นองค์ประกอบอยู่ในปริมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำหนัก ซึ่งน้ำมันหอมระเหยดังกล่าวมีคุณสมบัติเด่นในเรื่องต้าน
เชื้อจุลินทรีย์และมีสารกำจัดเชื้อโรคที่ดี
ลักษณะของต้น Tea Tree เป็นไม้พุ่ม มีความสูงประมาณ 5-7 เมตร ลำต้นมีเปลือก สามารถลอกออกได้เป็นแผ่นบางๆ
คล้ายกระดาษ ใบมีขนาดเล็กและเรียวยาวคล้ายใบสน เกสรตัวผู้สีขาวคล้ายหิมะเห็นเด่นชัดในฤดูร้อน ผลมีขนาดเล็กกระจายอยู่ตาม
กิ่งก้าน มีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมากอยู่ภายในผล
น้ำมันจากต้น Tea Tree นั้น ได้มาจากการนำใบไปสกัดเพื่อให้ได้น้ำมันออกมา ซึ่งระดับของผลิตภัณฑ์หรือน้ำมันก็จะขึ้นอยู่กับ
ผลผลิตหรือปริมาณของใบและความเข้มข้นของน้ำมันที่อยู่ภายในใบ ซึ่งปริมาณผลผลิตของใบจะขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของต้นพืช
น้ำมันภายในใบพืชจะมีองค์ประกอบทางเคมีหลายชนิดด้วยกัน มาตรฐานระหว่างประเทศกำหนดให้ต้องมี terpinen-4-ol
มากกว่า 30% และ 1,8-cineole จะต้องมีน้อยกว่า 15%
น้ำมันที่มีคุณภาพนั้นจะต้องมีสารออกฤทธิ์ (active ingredient) ของ terpinen-4-ol ในปริมาณที่สูงๆ และขณะเดียวกันน้ำมัน
ระดับคุณภาพมาตรฐานสูงสุดนั้น ค่าของ 1,8-cineole จะต้องมีไม่เกิน 5% จึงจะถือว่าเป็นน้ำมันที่มีคุณภาพสูงสุด
นอกจากน้ำมัน Tea Tree จะมีกลิ่นหอมแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย เช่น แก้ไข้ ขับเสมหะ รักษาอาการอ่อนเพลีย รักษาแผลอักเสบ แผลเปื่อย แผลเป็นหนอง รักษาอาการติดเชื้อในช่องคลอด มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต้านเชื้อ รักษาแผลจากแมลงสัตว์กัดต่อย รักษาโรคน้ำกัดเท้า รักษาสิว ออกฤทธิ์ในการต้านเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคและจุลินทรีย์ทั่วไปทั้งเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และยีสต์ เนื่องจากน้ำมัน Tea Tree มีคุณสมบัติเป็นสารฆ่าเชื้อโรคที่ดี (antiseptic) ซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังได้ดี และไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง จึงมีการนำน้ำมัน Tea Tree มาใช้ในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆอย่างแพร่หลาย เช่น สบู่ โฟมล้างหน้า ยาสระผม ยาสีฟัน ครีมนวดผม และ ครีมบำรุงผิว เป็นต้น นอกจากนั้นยังพบว่าน้ำมัน Tea Tree เมื่อนำมาผสมกับน้ำมันหอมระเหยชนิดอื่นๆ สามารถใช้เป็น aromatherapy ในธุรกิจสปาที่กำลังเจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมากในปัจจุบัน
CANOLA
Canola oil, or canola for short, is a vegetable oil derived
from rapeseed that is low in erucic acid, as opposed to
colza oil. There are both edible and industrial forms
produced from the seed of any of several cultivars of
the Brassicaceae family of plants, namely cultivars of
Brassica napus L., Brassica rapa subsp. oleifera, syn. B.
campestris L. or Brassica juncea, which are also referred
to as "canola".
Canola oil, like many vegetable oils, is rich in vitamin E,
which is an essential vitamin for the body for various
reasons. Vitamin E is very effective as an antioxidant
and is able to protect the skin from the damaging
effects of free radicals. This can keep your skin supple
and smooth, increase the healing rate of injuries, reduce
the appearance of blemishes and acne marks, and slow
down the appearance of wrinkles.
น้ำมันคาโนลา (Canola Oil) นั้นเป็นน้ำมันนำเข้าที่ได้จากการนำเมล็ดของต้น Canola มาผลิตเป็นน้ำมันเพื่อสุขภาพ ซึ่งต้น Canola นี้เป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศแคนาดา โดยมีนักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดาได้ริเริ่มนำต้น Rapeseed มาทำการดัดแปลงพันธุกรรมจนกระทั่งเกิดเป็นต้น Canola ดอกสีเหลืองและต้นนี้สามารถปลูกเจริญเติบโตได้ดีในช่วงหน้าหนาว เนื่องจากเป็นสภาวะอากาศที่เหมาะสมในการเพาะปลูก Canola Oil (Brassica napus canola) เป็นน้ำมันเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้ผิวสุขภาพดี มีสารอาหารที่ช่วยปรับสภาพผิว แทรกซึมดี เหมาะสำหรับผิวทุกประเภท มีกรดไขมันจำเป็นสูง ช่วยป้องกันการเสียความชุ่มชื้น ปรับสภาพและทำให้ผิวนุ่ม นอกจากนี้Canola Oil ยังสามารถใช้บำรุงผมเส้นผมได้ด้วย โดยแทรกซึมเข้าไปช่วยทำให้ผมแข็งแรง นุ่มขึ้น เงางาม บำรุงผมเสีย เพิ่มชั้นปกป้องเส้นผม
ALLANTOIN
A perennial shrub native to Europe and the temperate
parts of Asia, comfrey has been traditionally used to
help heal bone fractures, tendon damage, and more.
Today, comfrey is a popular source of allantoin, a
natural compound known for its moisturizing and
softening abilities.
Researchers have found that allantoin has soothing,
firming and tightening properties. Comfrey's high content
of allantoin is really it's claim to fame. It can help reduce
the appearance of fine line and wrinkles and many find it
to be effective for oily skin. Comfrey is also great for
sensitive skin. A mild cleansing property makes comfrey
cream a good solution for removing dirt, oils and
impurities without agitating.
Allantoin เป็นสารสกัดที่ได้จากรากและใบของพืชที่ชื่อว่า Comfrey (Symphytum officinale) มีคุณสมบัติช่วยปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคือง สมานแผล ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกอย่างอ่อนโยน โดยทำให้เซลล์หนังกำพร้าอ่อนนุ่มขึ้น กระตุ้นให้เกิดกระบวนการหลุดลอกออกไปเป็นขี้ไคลได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้เซลล์ผิวใหม่ได้รับสารอาหารและการบำรุงได้ดีขึ้น ด้วยประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนจึงมีการนำ Allantoin ไปใช้ในการผลัดเซลล์ผิวแทนการใช้เม็ด Bead ในการ Scrub ผิว ซึ่งก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวได้ คุณสมบัติที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดอย่างหนึ่งของ Allantoin คือ ช่วยเร่งการสมานแผล (Wound Healing) ซึ่งมีการใช้มาอย่างยาวนานหลายร้อยปีในทางการแพทย์เพื่อรักษาแผลที่ผิวหนัง มีบันทึกไว้ว่า Allantoin สามารถช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น จนนำไปสู่การศึกษาวิจัยต่อในปัจจุบัน Allantoin สามารถช่วยเร่งกระบวนการสมานแผลให้เร็วขึ้นได้ ประโยชน์ของ Allantoin ในด้านการบำรุงผิว ช่วยทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น ลดการสูญเสียน้ำจากผิว ลดการเกิดผิวแห้งลอก ผิวหยาบกร้าน ผิวแห้งจากอากาศหนาว ปลอมประโลมผิว ลดการระคายเคืองผิว หลังถูกสารเคมีหรือแสงแดด ช่วยเร่งการสมานแผล ช่วยผลัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพอย่างอ่อนโยน ฟื้นบำรุงเซลล์ผิวใหม่ อ่อนโยนต่อผิว นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับเด็กทารกได้อีกด้วย
PLANKTON
Plankton extracts come from many different sources,
including many species of seaweed and algae. Plankton
is tiny marine creatures that drift through the water,
feasting on whatever smaller plant particles they can
find. They are full of nutrients and are an essential part
of many animals’ diets, including the enormous baleen
whale. Many species of fish rely on a steady supply of
plankton to both feed and protect their newly laid eggs.
The plankton that is used to make plankton extracts
are generally of the algae variety, as they contain vital
proteins and enzymes that can improve the look of
aging skin.
Plankton extracts are high in essential fatty acids, which
are the building blocks of healthy cells. They also provide
deep, enduring moisture to the skin, both by being a
source of moisture themselves and training skin to hold
on to its moisture, instead of excreting it to the surface.
สารสกัดจากแพลงก์ตอนทะเล (Life Stream Plankton ) เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก ล่องลอยอยู่ในกระแสน้ำ การที่แพลงก์ตอนมีขนาดเล็กมากทำให้มีโอกาสที่จะมองเห็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้ได้น้อย แพลงก์ตอนที่พบจากแหล่งน้ำแต่ละแหล่ง จะมีองค์ประกอบของชนิด และปริมาณแตกต่างกันไป เช่น แพลงก์ตอนในน้ำจืดก็จะไม่เหมือนกับในน้ำทะเล แพลงก์ตอนในน้ำที่มีคุณภาพดี ก็จะไม่เหมือนกับที่พบในน้ำเสีย ซึ่งความแตกต่างนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากแพลงก์ตอนแต่ละชนิด มีความต้องการอาหารและสามารถเติบโตได้ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน แพลงก์ตอนทะเล สายพันธุ์ Artemia Salina อาศัยอยู่ในทะเลสาบที่มีความเข้มข้นของแร่ธาตุต่างๆ สูงมาก จึงต้องมีการปรับตัวให้อยู่ในสภาพแวดล้อมนี้ แพลงก์ตอนชนิดนี้ จะใช้การห่อหุ้มตัวเองเพื่อเข้าสู่การจำศีล ในระหว่างการจำศีล จะมีการเก็บสะสมพลังงานไว้ใช้ ในรูปของสารชนิดหนึ่งแต่เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงดีขึ้น แพลงก์ตอนก็จะออกจากการจำศีล และเอาสารที่เก็บไว้นี้ เปลี่ยนกลับมาเป็นพลังงาน เพื่อใช้ในการฟื้นฟูเซล นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการสกัดสารนี้และตั้งชื่อว่า GP4G จากการทดลองพบว่า สารสกัดจากแพลงก์ตอนให้พลังงานสูงแก่เซลล์ผิวสูงถึง 40% และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนสูงขึ้นถึง 54% ภายในเวลาเพียง 2 วัน นอกจากนี้ยังช่วยปกป้อง DNA ของเซลล์ผิว จากการทำลายของรังสี UVB ได้ ทำให้เซลล์ผิวสามารถนำสารอื่นๆ ไปใช้ในการสร้างเซลล์ใหม่และซ่อมแซมเซลที่ถูกทำลายจากสาเหตุภายใน คือ อนุมูลอิสระ เอนไซม์ ฮอร์โมน หรือปัจจัยภายนอกคือมลภาวะ ฝุ่น ควัน แสงแดด สารพิษต่างๆ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความแข็งแรง และความยืดหยุ่นให้แก่เซลล์
CAMU
Myrciaria dubia, commonly known as camu camu,
camucamu, cacari, or camocamo, is a small bushy
riverside tree from the Amazon rainforest in Peru
and Brazil, which grows to a height of 3–5 m and
bears a red/purple cherry-like fruit.
Camu camu has one of the highest concentrations
of vitamin C of any food source, and since vitamin C
is not only vital for human health but also impossible
to naturally create in our body, having a rich source like
camu camu is a huge advantage. Also, the synthetic
vitamin C that has recently been injected into foods to
boost their potency is not nearly as beneficial as naturally
occurring vitamin C. Ascorbic acid stimulates white blood
cell production, which significantly boosts the immune
system, and is also a key component in collagen
production, which helps to repair and develop cells,
tissues, and organs. Just as a comparison, camu camu
has 200 times more vitamin C than a banana in terms
of vitamin C per ounce.
Camu มีชื่อในทางวิทยาศาสตร์ว่า Myrciaria dubia เป็นพืชในวงศ์ตระกูล Myrtaceae มีลักษณะเป็นไม้ต้นขนาดเล็ก มีลักษณะการกระจายตัวอยู่ในประเทศบราซิลจนถึงประเทศเปรู มีความสูงของต้นประมาณ 2 – 3 เมตร ดอกของต้น คามู คามู มีขนาดเล็กและเป็นสีขาว ผลของต้นคามู คามู มีเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 1 นิ้ว และสีของมันจะเปลี่ยนไปจากสีเขียวเป็นสีแดงอมม่วงเมื่อผลแก่ มีรสชาติเปรี้ยว ปัจจุบันนี้นิยมนำผล คามู คามู มาผสมเป็นน้ำผลไม้ ผสมในเครื่องดื่ม หรือแต่งกลิ่นเพื่อเพิ่มรสชาติให้กับผลิตภัณฑ์ ชาวเปรูนิยมดื่มน้ำจากผลผสมกับน้ำเปล่าเพื่อแก้โรคหวัด และใช้บรรเทาอาการของผู้ป่วยในโรคระบบทางเดินอาหาร ส่วนเปลือกของต้นนั้น สามารถนำมาทำยาเคลือบและใช้บรรเทาแผลเป็น นอกจากนี้ยังนำมาใช้บำบัดรักษาโรคไขข้ออักเสบ ด้วยการนำเปลือกของต้นมาผสมกับส่วนของผล ปัจจุบัน Camu เริ่มได้รับความนิยม ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดผลไม้ ที่มีผลการวิจัยทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่า มีวิตามินซีสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทั้งหมด นักวิจัยและนักพัฒนาผลิตภัณฑ์จากทั่วโลก เริ่มหันมาให้ความสนใจกับผลไม้ Camu นี้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพบว่า Camu ให้กรดอะมิโน วิตามิน และเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายคน เช่น ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เหล็ก และแคลเซียม อีกทั้งยังมีสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ โพลีฟีนอล ลูทีน ซีแซนทีน และเบต้า-แคโรทีนสูง จากการวิจัย และศึกษาค้นคว้าพบว่า Camu ให้วิตามิน C ในปริมาณสูงถึง 2,400-3,000 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่มากกว่าวิตามินซีที่มีอยู่ในส้ม ถึงราวๆ 60 เท่า วิตามิและเมื่อทำการเปรียบเทียบกับมะนาวก็พบว่าให้ปริมาณวิตามินซีมากกว่าราวๆ 58 เท่า สำหรับคุณประโยชน์ทางด้านสุขภาพ พบว่ามีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ และต้านการอักเสบได้ด้วย
CAVIAR
Caviar is a delicacy consisting of salt-cured roe
of the Acipenseridae family. Traditionally, the term
caviar refers only to roe from wild sturgeon in the
Caspian Sea and Black Sea. Depending on the country,
caviar may also be used to describe the roe of other
fish such as salmon, steelhead, trout, lumpfish,
whitefish, carp and other species of sturgeon. It can
range in color from pale silver-gray to black.
Caviar extract contains antioxidant properties to protect
skin against dangerous UVA and UVB rays. This helps to
prevent against collagen and elastin breakdown. It works
wonders on lessening the appearance of wrinkles.
Caviar เป็นอาหารที่นิยมรับประทานกันมากในสังคมชั้นสูง แต่ปัจจุบันนอกเหนือจากการรับประทานเป็นอาหารแล้วผู้เชี่ยวชาญมักนำไข่ปลาคาเวียร์มาสกัดเป็นอาหารผิว เพราะว่าในสารสกัดของไข่ปลาคาเวียร์ ที่ได้จากการสารสกัดธรรมชาติจากไข่ปลาสเตอเจียน {Sturgeon) อุดมไปด้วยคุณค่าของกรดอะมิโนแอซิดที่สำคัญต่อผิว โดยจะช่วยยกกระชับผิวให้เต่งตึงขึ้น และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถช่วยลดการเหี่ยวย่นของผิว เมื่อใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ผิวจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวแลดูมีสุขภาพดีจากเซลล์จากภายในสู่ภายนอก ในไข่ปลาคาเวียร์จะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งโปรตีน กรดไขมัน น้ำ วิตามิน E B1 B2 B6 และอะมิโนแอซิด ที่ช่วยในการลดเลือนริ้วรอยอย่างได้ผล คุณประโยชน์หลักของไข่ปลาคาเวียร์ที่มีต่อผิวพรรณนั้น เริ่มต้นจากการปรับสภาพผิวให้มีสุขภาพดีขึ้น ช่วยให้ผิวดูอ่อนวัย ลดเลือนริ้วรอย ซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิวให้ความชุ่มชื่นอย่างล้ำลึกแก่ผิว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ผิว สามารถเผาผลาญและขจัดของเสียได้ดียิ่งขึ้น รักษาความชุ่มชื้น ต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระในผิว เพื่อช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น นอกจากนี้ยังช่วยซ่อมแซมผิว และจัดระเบียบการเรียงตัวของผิวให้เป็นระเบียบส่งผลให้ผิวเรียบเนียนมากขึ้น โปรตีนในไข่ปลาคาเวียร์จะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญของเซลล์และให้ความชุ่มชื้นกับผิว เกลือแร่ ในไข่ปลาคาเวียร์ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง แข็งแรง ดูสุขภาพดี กรดไขมัน กรดอะมิโนแอซิด ในไข่ปลาคาเวียร์เป็นเกราะในการปกป้องผิวจากภาวะภายนอกที่อันตรายกับผิว วิตามิน A และ D ในไข่ปลาคาเวียร์ ช่วยปกป้องผิวให้ผิวสุขภาพดี รวมถึงให้ออกซิเจนแก่ชั้นผิว ช่วยให้ผิวคืนความสดชื่น มีชีวิตชีวา ดูอ่อนเยาว์สดใส
VITAMIN E
Vitamin E refers to a group of compounds that include
both tocopherols and tocotrienols. Of the many different
forms of vitamin E, α-tocopherol, the most biologically
active form of vitamin E, is the second-most common
form of vitamin E in the diet. As a fat-soluble antioxidant
it interrupts the propagation of reactive oxygen species
that spread through biological membranes or through
a fat when its lipid content undergoes oxidation by
reacting with more-reactive lipid radicals to form more
stable products.
The benefits of vitamin E for the health of the skin are
well proven. Because of its antioxidant activity, vitamin E
helps combat the damaging effects on your skin of free
radicals, which come from various sources including
pollution, UV radiation, poor nutrition, and as a result of
aging.
วิตามิน E เป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย และต้องได้รับทุกวัน ละลายได้ดีในไขมัน มีหน้าที่สำคัญในการขยายหลอดลม และเป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือด วิตามิน E ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญอีกตัวหนึ่งที่ช่วยยับยั้ง การเสื่อมของเยื่อหุ้มเซลล์ ป้องกันเซลล์ถูกทำลายจากสารอนุมูลอิสระ และทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนในด้านของผิวพรรณ วิตามิน E ช่วยลดเลือนริ้วรอย รอยไหม้จากแสงแดดและรอยแผลเป็นได้ดี นอกจากนี้ยังเป็นไขมันดีที่เข้าไปให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว เหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้ง ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวลมากยิ่งขึ้น และด้วยสรรพคุณที่เข้าไปทำให้ระบบไหลเวียนเลือดได้ดีขึ้น จึงทำให้ให้ผิวดูมีเลือดฝาด และดูสุขภาพดีอีกด้วย มีการศึกษาโดยสมาคมการค้นคว้าโรคผิวหนัง ประเทศเยอรมัน พบว่า วิตามิน E สามารถช่วยให้เซลล์ผิวทนต่อรังสี UV B ในแสงแดดได้ดีขึ้น โดยการศึกษาให้อาสาสมัครรับประทานวิตามิน E 1,000 ยูนิตร่วมกับวิตามิน C 2,000 มิลลิกรัม ทุกวันติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน พบว่าเซลล์ผิวหนังสามารถทนต่อการถูกทำลายได้เพิ่มขึ้นเท่าตัว